กฎข้อที่ 1 ชีวิตนี้ไม่ยุติธรรมนักหรอก ทำความเคยชินกับมันซะเถอะ
-เคยได้ยินมาว่า “ชีวิตคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกเป็นได้” ดังนั้นอย่ามัวเสียเวลาโทษโชคชะตาเลย (เพราะมันไม่มีวันเปลี่ยนแปลง) สู้เอาเวลามาทำสิ่งที่ชอบและสนใจดีกว่า
กฎข้อที่ 2 โลกไม่สนใจหรอก ว่าคุณจะมั่นใจในตัวเองแค่ไหน แต่โลกนี้คาดหวัง ‘ความสำเร็จ’ ที่เกิดจากความมั่นใจของคุณต่างหาก
-โลกนี้ใช้ผลงานเป็นตัวตัดสิน ถึงแม้ไอเดียในหัวคุณจะสร้างสรรค์มากแค่ไหน แต่ถ้าไม่เปลี่ยนเป็นงานที่เสร็จเรียบร้อย ไอเดียดีๆ เหล่านั้นก็มีค่าเท่ากับไอเดียพื้นๆ จนคุณเดวิด ชวาร์ท เคยกล่าวไว้ว่า“ความคิดที่ยอดเยี่ยมไม่เพียงพอ แต่ความคิดที่พอใช้ได้ ซึ่งมีการปฏิบัติและพัฒนานั้นย่อมดีกว่าความคิดที่ดีเลิศ แต่ตายไปเพราะไม่ได้รับการติดตามร้อยเปอร์เซนต์”
และดูเหมือนว่า “ทฤษฏี 100 คนคิด 10 คนทำ และ 1 คนสำเร็จ” จะเป็นจริง
กฎ ข้อที่ 3 ไม่มีทางที่คุณจะทำเงินได้ปีละ 60,000 เหรียญ (เกือบ 2 ล้าน) ทันทีที่เพิ่งจบมัธยม และ ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เป็นประธานบริษัทที่มีรถประจำตำแหน่งพร้อมโทรศัพท์ใน รถส่วนตัวด้วย
-ข้อนี้ไม่เห็นด้วยกับเฮีย บิลเกตส์ เพราะเฮียใช้มาตราฐานที่ต้องเรียนมหาวิทยาลัยก่อนมาตัดสิน โดยอิงเรื่องตัวเองและสตีฟ จอบส์ ผมคิดว่าจัสติน บีเบอร์ เกิลเจเนอเรชั่น และ 2Ne1 ทำให้ดูแล้ว ทุกสิ่งเป็นไปได้หมดล่ะนะถ้าบ้าจริง เพียงแต่คนที่จะทำต้องยอมแลกมาด้วยวัยชีวิตวัยรุ่นที่น่าประทับใจ เพราะแทนที่จะได้ค้นหาตัวเองและเที่ยวเล่น กลับต้องมาเดินสายทำงาน และตอนอายุเยอะจะไปเที่ยวให้สนุกแบบเด็กๆ ก็ยากล่ะ
ส่วนประโยคหลัง เรื่องประธานบริษัทเห็นด้วยครับ เพราะ จัสติน บีเบอร์ เกิลเจเนอเรชั่น และ 2Ne1 มีผู้ใหญ่ค้นพบและสร้างขึ้นมา พวกเขาอาจสร้างตัวเองก็จริง แต่ถ้าไม่มีประธานบริษัทสักแห่งลงทุนและสนับสนุนความฝันยิ่งใหญ่แบบนี้ก็ไม่มีทางเป็นจริงได้
กฎข้อที่ 4 ถ้าคุณคิดว่า อาจารย์กำลังสอนบทเรียนอันน่าเบื่อ ลองไปทำงาน แล้วเจอกับเจ้านายสิ
-มนุษย์เงินเดือนหลายคนต่างอยากกลับไปเรียนหนังสือ แล้วยอมอ่านหนังสือสอบทุกวันครับ
กฎข้อที่ 5 การคิดคำแสลงใหม่ ๆ ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะปู่ย่าตายายของคุณก็เคยทำมาก่อน
-สมัยผมก็มีคำแสลงและภาษาวิบัติเหมือนกัน ก็ตลกดีที่ผู้ใหญ่ทุกยุครู้สึกเดือนร้อนใจทั้งที่ตัวเองเคยทำมาก่อน แน่นอนว่าเด็กยุคนี้ที่คิดศัพท์แปลกๆ อย่าง ใจร่มๆ สวดยอด กาก เฟล ชิมิชิมิ เกรียน รับประกันว่าอีกสิบปีคุณเจอเด็กเจอเนอเรอชั่นใหม่สร้างความปวดตับให้เหมือนกันครับ เพราะมันคือการสร้างยุคสมัยของตัวเองเท่านั้นเองครับ
กฎข้อที่ 6 ชีวิตที่ยุ่งเหยิงของคุณ ไม่ใช่ความผิดของพ่อแม่ เลิกคร่ำครวญเกี่ยวกับสิ่งที่พลาดไปแล้ว แต่จงเรียนรู้จากมัน
-ถ้าไม่มีพ่อแม่ เราไม่ได้เกิดมาใช้ชีวิตหรอกใช่ไหม (แถมพวกเขาหมดเงินไปเป็นแสนเป็นล้าน) ชีวิตสุขเศร้าบ้างเป็นเรื่องธรรมดา พ่อแม่ก็มีปัญหาของท่านเหมือนกันแถมต้องหาเงินมาเลี้ยงเราอีก ท่านลำบากมากเลยนะครับ ดังนั้น ขอบคุณท่านให้มากๆ ดีกว่า
กฎ ข้อที่ 7 ก่อนที่คุณจะเกิด พ่อแม่ไม่ได้น่าเบื่อเหมือนที่คุณรู้สึกตอนนี้ พวกเขาต้องทำงานอย่างหนัก มาจ่ายบิลต่าง ๆ ต้องซักเสื้อผ้าให้กับคุณ พวกเขาต้องอดทนฟังคุณคุยอวดในเรื่องไม่เข้าท่า ดังนั้น ถ้าคุณคิดจะทำเรื่องใหญ่ ๆ อะไรก็ตาม เช่น ช่วยอนุรักษ์ป่าฝนรุ่นบรรพบุรุษจากการถูกปรสิตทำลาย ก่อนหน้านั้นช่วยกำจัดเห็บเหาที่มันแพร่พันธุ์ในตู้เสื้อผ้ารก ๆ ของคุณซะก่อนดีกว่า
-ผมชอบที่ Patrick Jake บอกไว้ว่า “ผมเห็นทุกคนต่างต้องการที่จะช่วยโลกกันทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครอยากช่วยแม่ล้างจานสักคน” ส่วน ไมเคิล แจ็คสัน ก็เคยบอกไว้ว่า “ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น จงมองดูตัวเอง แล้วเริ่มเปลี่ยนแปลงหนึ่งอย่างก่อน”
ดังนั้นถ้าใครเชื่อตามหลักทฤษฎีคิออสที่ว่า เมื่อผีเสื้อกระพือปีก ณ สถานที่แห่งหนึ่ง อาจก่อให้เกิดพายุในที่ห่างไกลที่อื่น ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ครับ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกต่างเชื่อมโยงกันอยู่
กฎ ข้อที่ 8 ชีวิตในโรงเรียนอาจตัดสินคุณว่าเป็นผู้ชนะหรือแพ้ แต่ชีวิตจริง ‘ไม่ใช่’ เพราะชีวิตจริงสอนการเป็นผู้แพ้ด้วยซ้ำไป แถมยังให้โอกาสคุณมากมายในการลองผิดลองถูก พูดง่าย ๆ ก็คือ ชีวิตในโรงเรียน ไม่เหมือนชีวิตจริงหรอก
-ชีวิตในโรงเรียนมีเกรดตัดสินที่แน่ชัด ส่วนในชีวิตจริงไม่มีเกรด และเราต้องเป็นคนตรวจข้อสอบชีวิตเองว่ากี่คะแนน
กฎข้อที่ 9 ชีวิต ไม่ได้แบ่งเป็นเทอมๆ ไม่มีช่วงซัมเมอร์ให้คุณไปค้นหาตัวตน
-นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนทำงานอยากกลับไปเรียนหนังสือ เพราะพวกเรามีพักร้อนแค่ไม่กี่วัน ยังคงโหยหาเปิดเทอมใหญ่อันแสนสุข ถ้ายังเหลืออยู่ก็อย่าลืมใช้ให้เต็มที่ครับ อยากลองเรียนหรือทำอะไรทำเลยครับ อย่าง เขียนต้นฉบับ วาดการ์ตูน ไปเที่ยวที่อยากไป เรียนทำขนม ถักนิตติ้ง นี่ล่ะเป็นช่วงเวลาค้นหาตัวตนที่ดีมาก
กฎ ข้อที่ 10 สิ่งที่เกิดขึ้นในโทรทัศน์ ไม่ใช่ชีวิตจริง เพราะในชีวิตจริง ผู้คนต้องรีบเช็คบิลจากร้านกาแฟ และตรงดิ่งไปทำงาน (เราจะเห็นว่าในละครส่วนใหญ่ คนมักออกจากที่ทำงานมาคุยกันที่ร้านกาแฟ)
-สิ่งที่เกิดขึ้นในหนัง ละคร หรือการ์ตูน ไม่ใช่เรื่องจริงครับ อาจจริงเพียง 1-10% เท่านั้น มันผ่านการคิดมาแล้วว่าทำยังไงให้คนดูส่วนใหญ่ชอบ ถูกใจ ฉากนี้ต้องใส่อะไรเพิ่มไหม ต้องลดทอนอะไรหรือเปล่า เรียกว่าเซ็ตติ้งกันทุกจุด เอาไว้หลอกผู้ใหญก็ได้ ขณะเดียวกันที่ผู้ใหญ่ยอมให้หลอกเพราะมันเพลินดี (ศึกษาเพิ่มได้ในบาคุแมน - ช่วงที่พระเอกแก้สตอรรี่บอร์ดโดยมีคุณฮัตโตริกำกับครับ) เท่าที่รู้ ขนาดหนังชีวประวัติยังเติมกันหนักเลย
กฎข้อ 11 เป็นมิตรกับความ ‘เนิร์ด’ แล้ว ชีวิตคุณจะไม่ต้องเป็นลูกจ้างใครอีกต่อไป
-เด็กเนิร์ดคือบุคคลที่บ้าคลั่งวิชาความรู้ในคอมพิวเตอร์อย่างรุนแรง ถ้าบิลเกตส์ หมายถึงคนกลุ่มนี้ก็ยอมรับว่าจริงครับ เพราะคอมพิวเตอร์เป็นธุรกิจที่เพิ่งเกิดมา 20 ปี ดังนั้นธุรกิจนี้เลยไม่มีผู้ทำมาก่อน และผู้ใหญ่ไม่มีความเชี่ยวชาญ(เพราะคนที่แก่แล้วจะไม่ยอมเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ) เป็นธุรกิจเปิดใหม่ที่ต้องการคน มีกำลังเงินจ่ายให้สูง ดังนั้นใครที่เข้ามาเรียนรู้ย่อมดีกว่ามาก ต่างจากงานโรงแรม การตลาด งานบริหาร ธนาคาร สถาปนิก สิ่งพิมพ์ งานหนังสือ ที่ทำกันมาเป็นร้อยปี มีการวางระบบและมีผู้อาวุโสมีทำงานมา 30-40 ปีอยู่เต็มไปหมด มีการกดเงินเด็กใหม่เต็มเหนี่ยว ความรุนแรงในการแข่งขันจึงต่างกันมาก ดังนั้น ใครที่มีความสนใจและความชอบในงานไม่เนิร์ด ที่มีผู้อาวุโสครองตลาดอยู่มากมายเช่นนี้ ขอให้เตรียมใจ พกแรงบันดาลใจ และความอึดมาเป็นพิเศษ
ส่วนเรื่องไม่ต้องเป็นลูกจ้างใครมันอยู่ที่กึ๋นมากกว่า
หมายเหตุ - ขอบคุณเฮีย บิลเกตส์ สำหรับข้อคิดดีๆ รวมถึงการบริจาคเงินจำนวนมหาศาลเพื่อสู้กับโรคต่างๆ เพื่อช่วยชีวิตคนในประเทศโลกที่ 3 ครับ
-ขอบคุณผู้แปล 11 Things You Don’t Get to Learn in School จาก เว็บไซต์secret.extrarisk.com ที่แปลมาให้อ่านกัน และขออภัยที่ไม่สามารถให้เครดิตได้ เพราะหาที่มาไม่ได้จริงๆ