วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556



            กฎข้อที่ 1 ชีวิตนี้ไม่ยุติธรรมนักหรอก ทำความเคยชินกับมันซะเถอะ
            -เคยได้ยินมาว่า “ชีวิตคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกเป็นได้” ดังนั้นอย่ามัวเสียเวลาโทษโชคชะตาเลย (เพราะมันไม่มีวันเปลี่ยนแปลง) สู้เอาเวลามาทำสิ่งที่ชอบและสนใจดีกว่า

            กฎข้อที่ 2 โลกไม่สนใจหรอก ว่าคุณจะมั่นใจในตัวเองแค่ไหน แต่โลกนี้คาดหวัง ‘ความสำเร็จ’ ที่เกิดจากความมั่นใจของคุณต่างหาก
            -โลกนี้ใช้ผลงานเป็นตัวตัดสิน ถึงแม้ไอเดียในหัวคุณจะสร้างสรรค์มากแค่ไหน แต่ถ้าไม่เปลี่ยนเป็นงานที่เสร็จเรียบร้อย ไอเดียดีๆ เหล่านั้นก็มีค่าเท่ากับไอเดียพื้นๆ จนคุณเดวิด ชวาร์ท เคยกล่าวไว้ว่า“ความคิดที่ยอดเยี่ยมไม่เพียงพอ แต่ความคิดที่พอใช้ได้ ซึ่งมีการปฏิบัติและพัฒนานั้นย่อมดีกว่าความคิดที่ดีเลิศ แต่ตายไปเพราะไม่ได้รับการติดตามร้อยเปอร์เซนต์”
            และดูเหมือนว่า “ทฤษฏี 100 คนคิด 10 คนทำ และ 1 คนสำเร็จ” จะเป็นจริง

            กฎ ข้อที่ 3 ไม่มีทางที่คุณจะทำเงินได้ปีละ 60,000 เหรียญ (เกือบ 2 ล้าน) ทันทีที่เพิ่งจบมัธยม และ ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เป็นประธานบริษัทที่มีรถประจำตำแหน่งพร้อมโทรศัพท์ใน รถส่วนตัวด้วย
            -ข้อนี้ไม่เห็นด้วยกับเฮีย บิลเกตส์ เพราะเฮียใช้มาตราฐานที่ต้องเรียนมหาวิทยาลัยก่อนมาตัดสิน โดยอิงเรื่องตัวเองและสตีฟ จอบส์ ผมคิดว่าจัสติน บีเบอร์ เกิลเจเนอเรชั่น และ 2Ne1 ทำให้ดูแล้ว ทุกสิ่งเป็นไปได้หมดล่ะนะถ้าบ้าจริง เพียงแต่คนที่จะทำต้องยอมแลกมาด้วยวัยชีวิตวัยรุ่นที่น่าประทับใจ เพราะแทนที่จะได้ค้นหาตัวเองและเที่ยวเล่น กลับต้องมาเดินสายทำงาน และตอนอายุเยอะจะไปเที่ยวให้สนุกแบบเด็กๆ ก็ยากล่ะ
            ส่วนประโยคหลัง เรื่องประธานบริษัทเห็นด้วยครับ เพราะ จัสติน บีเบอร์ เกิลเจเนอเรชั่น และ 2Ne1 มีผู้ใหญ่ค้นพบและสร้างขึ้นมา พวกเขาอาจสร้างตัวเองก็จริง แต่ถ้าไม่มีประธานบริษัทสักแห่งลงทุนและสนับสนุนความฝันยิ่งใหญ่แบบนี้ก็ไม่มีทางเป็นจริงได้

            กฎข้อที่ 4 ถ้าคุณคิดว่า อาจารย์กำลังสอนบทเรียนอันน่าเบื่อ ลองไปทำงาน แล้วเจอกับเจ้านายสิ
            -มนุษย์เงินเดือนหลายคนต่างอยากกลับไปเรียนหนังสือ แล้วยอมอ่านหนังสือสอบทุกวันครับ

            กฎข้อที่ 5 การคิดคำแสลงใหม่ ๆ ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะปู่ย่าตายายของคุณก็เคยทำมาก่อน
            -สมัยผมก็มีคำแสลงและภาษาวิบัติเหมือนกัน ก็ตลกดีที่ผู้ใหญ่ทุกยุครู้สึกเดือนร้อนใจทั้งที่ตัวเองเคยทำมาก่อน แน่นอนว่าเด็กยุคนี้ที่คิดศัพท์แปลกๆ อย่าง ใจร่มๆ สวดยอด กาก เฟล ชิมิชิมิ เกรียน รับประกันว่าอีกสิบปีคุณเจอเด็กเจอเนอเรอชั่นใหม่สร้างความปวดตับให้เหมือนกันครับ เพราะมันคือการสร้างยุคสมัยของตัวเองเท่านั้นเองครับ

            กฎข้อที่ 6 ชีวิตที่ยุ่งเหยิงของคุณ ไม่ใช่ความผิดของพ่อแม่ เลิกคร่ำครวญเกี่ยวกับสิ่งที่พลาดไปแล้ว แต่จงเรียนรู้จากมัน
            -ถ้าไม่มีพ่อแม่ เราไม่ได้เกิดมาใช้ชีวิตหรอกใช่ไหม (แถมพวกเขาหมดเงินไปเป็นแสนเป็นล้าน) ชีวิตสุขเศร้าบ้างเป็นเรื่องธรรมดา พ่อแม่ก็มีปัญหาของท่านเหมือนกันแถมต้องหาเงินมาเลี้ยงเราอีก ท่านลำบากมากเลยนะครับ ดังนั้น ขอบคุณท่านให้มากๆ ดีกว่า

            กฎ ข้อที่ 7 ก่อนที่คุณจะเกิด พ่อแม่ไม่ได้น่าเบื่อเหมือนที่คุณรู้สึกตอนนี้ พวกเขาต้องทำงานอย่างหนัก มาจ่ายบิลต่าง ๆ ต้องซักเสื้อผ้าให้กับคุณ พวกเขาต้องอดทนฟังคุณคุยอวดในเรื่องไม่เข้าท่า ดังนั้น ถ้าคุณคิดจะทำเรื่องใหญ่ ๆ อะไรก็ตาม เช่น ช่วยอนุรักษ์ป่าฝนรุ่นบรรพบุรุษจากการถูกปรสิตทำลาย ก่อนหน้านั้นช่วยกำจัดเห็บเหาที่มันแพร่พันธุ์ในตู้เสื้อผ้ารก ๆ ของคุณซะก่อนดีกว่า
            -ผมชอบที่ Patrick Jake บอกไว้ว่า “ผมเห็นทุกคนต่างต้องการที่จะช่วยโลกกันทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครอยากช่วยแม่ล้างจานสักคน” ส่วน ไมเคิล แจ็คสัน ก็เคยบอกไว้ว่า “ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น จงมองดูตัวเอง แล้วเริ่มเปลี่ยนแปลงหนึ่งอย่างก่อน”
               ดังนั้นถ้าใครเชื่อตามหลักทฤษฎีคิออสที่ว่า  เมื่อผีเสื้อกระพือปีก ณ สถานที่แห่งหนึ่ง อาจก่อให้เกิดพายุในที่ห่างไกลที่อื่น ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ครับ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกต่างเชื่อมโยงกันอยู่

            กฎ ข้อที่ 8 ชีวิตในโรงเรียนอาจตัดสินคุณว่าเป็นผู้ชนะหรือแพ้ แต่ชีวิตจริง ‘ไม่ใช่’ เพราะชีวิตจริงสอนการเป็นผู้แพ้ด้วยซ้ำไป แถมยังให้โอกาสคุณมากมายในการลองผิดลองถูก พูดง่าย ๆ ก็คือ ชีวิตในโรงเรียน ไม่เหมือนชีวิตจริงหรอก
            -ชีวิตในโรงเรียนมีเกรดตัดสินที่แน่ชัด ส่วนในชีวิตจริงไม่มีเกรด และเราต้องเป็นคนตรวจข้อสอบชีวิตเองว่ากี่คะแนน

            กฎข้อที่ 9 ชีวิต ไม่ได้แบ่งเป็นเทอมๆ ไม่มีช่วงซัมเมอร์ให้คุณไปค้นหาตัวตน
            -นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนทำงานอยากกลับไปเรียนหนังสือ เพราะพวกเรามีพักร้อนแค่ไม่กี่วัน ยังคงโหยหาเปิดเทอมใหญ่อันแสนสุข ถ้ายังเหลืออยู่ก็อย่าลืมใช้ให้เต็มที่ครับ อยากลองเรียนหรือทำอะไรทำเลยครับ อย่าง เขียนต้นฉบับ วาดการ์ตูน ไปเที่ยวที่อยากไป เรียนทำขนม ถักนิตติ้ง นี่ล่ะเป็นช่วงเวลาค้นหาตัวตนที่ดีมาก

            กฎ ข้อที่ 10 สิ่งที่เกิดขึ้นในโทรทัศน์ ไม่ใช่ชีวิตจริง เพราะในชีวิตจริง ผู้คนต้องรีบเช็คบิลจากร้านกาแฟ และตรงดิ่งไปทำงาน (เราจะเห็นว่าในละครส่วนใหญ่ คนมักออกจากที่ทำงานมาคุยกันที่ร้านกาแฟ)
            -สิ่งที่เกิดขึ้นในหนัง ละคร หรือการ์ตูน ไม่ใช่เรื่องจริงครับ อาจจริงเพียง 1-10% เท่านั้น มันผ่านการคิดมาแล้วว่าทำยังไงให้คนดูส่วนใหญ่ชอบ ถูกใจ ฉากนี้ต้องใส่อะไรเพิ่มไหม ต้องลดทอนอะไรหรือเปล่า เรียกว่าเซ็ตติ้งกันทุกจุด เอาไว้หลอกผู้ใหญก็ได้ ขณะเดียวกันที่ผู้ใหญ่ยอมให้หลอกเพราะมันเพลินดี (ศึกษาเพิ่มได้ในบาคุแมน - ช่วงที่พระเอกแก้สตอรรี่บอร์ดโดยมีคุณฮัตโตริกำกับครับ)  เท่าที่รู้ ขนาดหนังชีวประวัติยังเติมกันหนักเลย

            กฎข้อ 11 เป็นมิตรกับความ ‘เนิร์ด’ แล้ว ชีวิตคุณจะไม่ต้องเป็นลูกจ้างใครอีกต่อไป
            -เด็กเนิร์ดคือบุคคลที่บ้าคลั่งวิชาความรู้ในคอมพิวเตอร์อย่างรุนแรง ถ้าบิลเกตส์ หมายถึงคนกลุ่มนี้ก็ยอมรับว่าจริงครับ เพราะคอมพิวเตอร์เป็นธุรกิจที่เพิ่งเกิดมา 20 ปี ดังนั้นธุรกิจนี้เลยไม่มีผู้ทำมาก่อน และผู้ใหญ่ไม่มีความเชี่ยวชาญ(เพราะคนที่แก่แล้วจะไม่ยอมเรียนรู้อะไรใหม่ๆ )  เป็นธุรกิจเปิดใหม่ที่ต้องการคน มีกำลังเงินจ่ายให้สูง ดังนั้นใครที่เข้ามาเรียนรู้ย่อมดีกว่ามาก ต่างจากงานโรงแรม การตลาด งานบริหาร ธนาคาร สถาปนิก สิ่งพิมพ์ งานหนังสือ ที่ทำกันมาเป็นร้อยปี มีการวางระบบและมีผู้อาวุโสมีทำงานมา 30-40  ปีอยู่เต็มไปหมด มีการกดเงินเด็กใหม่เต็มเหนี่ยว ความรุนแรงในการแข่งขันจึงต่างกันมาก ดังนั้น ใครที่มีความสนใจและความชอบในงานไม่เนิร์ด ที่มีผู้อาวุโสครองตลาดอยู่มากมายเช่นนี้ ขอให้เตรียมใจ พกแรงบันดาลใจ และความอึดมาเป็นพิเศษ
           ส่วนเรื่องไม่ต้องเป็นลูกจ้างใครมันอยู่ที่กึ๋นมากกว่า



          หมายเหตุ - ขอบคุณเฮีย บิลเกตส์ สำหรับข้อคิดดีๆ รวมถึงการบริจาคเงินจำนวนมหาศาลเพื่อสู้กับโรคต่างๆ เพื่อช่วยชีวิตคนในประเทศโลกที่ 3 ครับ
                        -ขอบคุณผู้แปล 11 Things You Don’t Get to Learn in School จาก เว็บไซต์secret.extrarisk.com ที่แปลมาให้อ่านกัน และขออภัยที่ไม่สามารถให้เครดิตได้ เพราะหาที่มาไม่ได้จริงๆ

วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

 

 


บิล เกตส์

ประวัติของ บิลล์ เกตส์ โดยย่อ
เกิด 28 ตุลาคม ค.ศ. 1955 อายุ 43 สัญชาติอเมริกัน สถานะแต่งงาน ลูก 2 สถานศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มีเงิน 9 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐ
 
ในประวัติ บิลล์ เกตส์นั้น เขาได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเลคไซด์ อันเป็นโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมืองซีแอทเทิล ที่นั่นเองที่เขาได้พัฒนาทักษะในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์กับเครื่องมินิ คอมพิวเตอร์ของโรงเรียน เพื่อให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม บิลล์ เกตส์ กับ พอล อัลเลน เพื่อนสนิท ได้แอบย่องเข้าไปในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยวอชิงตันทั้งคู่ ถูกจับได้แต่ก็ได้เจรจาตกลงกับเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อช่วยจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียนได้ใช้ฟรี ต่อมาบิลล์ เกตส์ได้ เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ต้องพักการเรียนไปโดยไม่จบการศึกษา เพื่อที่จะได้เริ่มประกอบอาชีพทางด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เขามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับสตีฟ บาลเมอร์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมห้องในหอพักระหว่างที่เป็นนักศึกษาปี 1
 
Bill Gate เรียนไม่จบ จริง แต่คนจบปริญญาเป็นหมื่นเป็นลูกจ้างเขา เริ่มเขียนโปรแกรมตอนอายุ 13 และเมื่อเขียน MS Windows ได้ขณะข้ามพรมแดนจาก canada จนท ศุลกากรถามว่า มีทรัพย์สินเท่าไร บิล เกตส์ ที่ถือแผ่นดิส 5 นิ้ว 720 kb มาเป็นปึกก็บอกว่า นี่มีค่า 50 ล้านเหรียญ จนท คิดว่าคุยกะคนเพี้ยนเลยปล่อยไปโดยไม่คิดตังค์แม้แต่แดงเดียว เมื่อร่วมงานกะ paul allen จนตั้ง microsoft สัดส่วนหุ้นคือ60 / 40 = gates / allen แต่ allen ไม่ชอบนั่งบริหาร ชอบคอมพ์มากเลยขายหุ้นที่ตนทีอยู่ทั้งหมดและให้เกตบริหารแทน ( The Road Ahead กะ Business @ speed of thought by Bill Gates )ไปแล้ว

 


 
 
บิล เกตส์ มีหลัก 6 ประการในการทำงาน
1. จับตลาดที่มีช่องทางเยอะแต่มีคู่แข่งน้อย
2. เข้าไปให้เร็ว เข้าไปให้ใหญ่
3. สร้างสิทธิบัตรคุ้มครอง
4. คุ้มครองสิทธิ์ดังกล่าวโดยทุกวิธีทางที่ทำได้
5. มุ่งกำไรสูงสุด
6. ให้ของที่ลูกค้าไม่อยากปฏิเสธ แต่เบื้องหลังของโครงสร้างที่ประสบความสำเร็จนั้นคือนโยบายเกี่ยวกับคนทำงาน ที่ชัดเจน เป็นนโยบายที่อาจารย์แฮนดี้บอกว่าทำให้ไมโครซอฟ มั่นคงแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ
 
หลัก  5  ประการของบิล เกตส์ คือ
1. ให้หุ้น คือ ใครทำงานดีให้หุ้น
2. ให้อำนาจในการตัดสินใจ
3. ให้แต้มการทำงานใครได้คะแนนสี่ ถือว่าเยี่ยม ใครได้คะแนนหนึ่ง ออก
4. ให้ความเสมอภาค
5. ให้ทุกคนมีอีเมล์
 
ในประวัติ บิลล์ เกตส์ นั้น เขาติดอันดับหนึ่ง จากการจัดอันดับ "ฟอร์บ 400" ระหว่างปี ค.ศ. 1993-2005 และติดอันดับหนึ่งในการจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกของนิตยสารฟอร์บ ในปี ค.ศ. 1996 และระหว่างปี ค.ศ. 1998-2005 ซึ่งจากการจัดอันดับดังกล่าว สรุปได้ว่าทรัพย์สินสุทธิของเขามีมูลค่าดังต่อไปนี้:
 
- ค.ศ. 1996 - 18.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 1997 - 36.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 2 ของโลก
- ค.ศ. 1998 - 51.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 1999 - 90.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2000 - 60.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2001 - 58.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2002 - 52.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2003 - 40.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2004 - 46.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2005 - 46.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2006 - 46.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
 
ขอบคุณ : วิกิพีเดีย